เศรษฐกิจไทย ผจญความเสี่ยงการเมืองในประเทศ

Date:

วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า มูลค่าส่งออกเดือนพฤษภาคมทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แต่การเติบโตอาจไม่ยั่งยืนจากหลายปัจจัยกดดัน กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 31.0 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ที่ 18.4% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าส่งออกขยายตัว 20.4% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ แผงวงจรไฟฟ้า รวมถึงสินค้าเกษตรที่กลับมาจากขยายตัวจากการส่งออกมันสำปะหลังและผลไม้ที่เพิ่มขึ้น ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวสูงในตลาดสหรัฐฯ และจีน ขณะที่การส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นและอาเซียน5 หดตัวเล็กน้อย สำหรับในช่วง 5 เดือนของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 138.2 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14.9% 

แม้การส่งออกไทยจะเติบโตในอัตราเลขสองหลัก แต่ยังไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตในประเทศ สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 4 เดือนแรกของปียังอยู่ในภาวะหดตัวที่ -0.8% นอกจากนี้ แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไปยังเผชิญอุปสรรคจาก (i) นโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แม้การเก็บภาษีแบบตอบโต้อาจเผชิญข้อจำกัดทางกฎหมาย แต่สหรัฐฯ อาจหันไปใช้กฎหมายการค้าอื่น เช่น การเพิ่มรายการสินค้าและเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 วิจัยกรุงศรีพบว่าการใช้มาตรา 232 ดังกล่าว อาจทำให้การส่งออกของไทยในระยะยาวหายไป -0.76% ใกลัเคียงกับผลกระทบจากการเก็บภาษีนำเข้าในปัจจุบันที่ -0.68% อีกทั้งผลลบจากมาตรา 232 ต่อบางอุตสาหกรรมจะรุนแรงขึ้น เช่น อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า (แรงขึ้น 3 เท่า) และ (ii) การเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯอาจเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นหลังจากความเสี่ยงประเด็นเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ

ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยร่วงลง 5 อันดับ สู่อันดับที่ 30 ขณะที่เสถียรภาพทางการเมืองที่สั่นคลอนเพิ่มแรงกดดันต่อทิศทางเศรษฐกิจ จากรายงานของ IMD World Competitiveness Ranking ประจำปี 2568 ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยปรับลดลงมาอยู่อันดับที่ 30 จาก 69 ประเทศ ลดลงจากอันดับที่ 25 ในปี 2567 โดยปรับลดในทุกองค์ประกอบ ได้แก่ ประสิทธิภาพของภาครัฐ (จากอันดับ 24 เป็น 32) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (จาก 20 เป็น 24) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (จาก 43 เป็น 47) และภาวะเศรษฐกิจ (จาก 5 เป็น 8) 

การที่อันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยปรับลดลง โดยเฉพาะอันดับที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในด้านประสิทธิภาพของภาครัฐและประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ สะท้อนถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ความล่าช้าในการดำเนินนโยบายภาครัฐ การปรับตัวของภาคเอกชนที่ยังขาดความยืดหยุ่น และการลงทุนภาคการผลิตที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ล้วนเป็นปัจจัยที่บั่นทอนศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ขณะที่ล่าสุดสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและอดีตผู้นำกัมพูชา รวมถึงการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาล 69 ที่นั่งจากพรรคภูมิใจไทย อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ อาทิ (i) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแผนจะอนุมัติงบประมาณวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท (จากทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท) (ii) กระบวนการอนุมัติโครงการภาครัฐ และ (iii) การจัดทำงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลประจำปีงบฯ 2569 ประเด็นดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

ออมสิน ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกตัว 0.25% 

ออมสิน ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกตัว 0.25% ทั้ง MRR MLR และ MOR มีผล 15 สิงหาคม 68 หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ

TQM กำไรครึ่งปี 68 สุทธิ 414 ล้านบาท

TQM ครึ่งปีแรก 2568 รายได้รวม 2,077 ล้านบาท กำไรสุทธิ 414 ล้านบาท จ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.50 บาทต่อหุ้น

กรุงไทย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้  0.25% 

กรุงไทย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้  0.25% ช่วยประคองลูกค้าทุกกลุ่มฝ่าวิกฤต และปรับตัวรับระเบียบการค้าใหม่ของโลก และความท้าทายที่ซับซ้อนระยะข้างหน้า

ธนาคารกรุงเทพ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

ธนาคารกรุงเทพ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ