
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่าน แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องเป็นอัตรา 1% จนดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 1.50% ถือว่ายังมีช่องว่างที่แบงก์ชาติยังลดดอกเบี้ยได้อีก แต่ตอนนี้รอให้ผลของการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมาให้ได้ออกผลเต็มที่เสียก่อน ซึ่งใช้เวลา 6-12 เดือน
“ดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้อยู่ที่ 1.5% ก็ถือว่าต่ำประมาณหนึ่ง และผลของการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมายังไม่เต็มที่ แบงก์ชาติ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จึงอยู่ในหมวดที่ เข้าใจตรงกันว่าพร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ยต่อไปเพื่อจะประคับประคองเศรษฐกิจแล้วก็ดันเงินเฟ้อขึ้น” นายวิทัย กล่าว
สำหรับการประชุม กนง. ล่าสุดที่ผ่านมา แม่ว่ากรรมการ 7 ท่าน จะมีมติคงดอกเบี้ย 1.50% ด้วยคะแนน 5 ต่อ 2 ท่าน ซึ่งไม่ใช่มีมุมมองไม่ตรงกันเรื่องนโยบายดอกเบี้ยในอนาคต แค่มีความเห็นต่างกันเรื่องของเวลาที่ควรลดดอกเบี้ยเท่านั้น เพราะ กนง. ลดดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยังไม่ถึง 6-12 เดือน ทำให้คณะกรรมการ กนง. บางท่านก็มองว่าควรหยุดคอย และใช้นโยบายดอกเบี้ยที่เหลือในเวลาที่เหมาะสมมากกว่า
เงินเฟื้อระยะปานกลางเข้ากรอบเป้าหมาย
นายวิทัย กล่าวว่า เรื่องเงินเฟ้อ ในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐานแม้แว่าจะอยู่ต่ำ แต่ถ้าตัดเอาพลังงานและอาหารออกไป เชื่อว่าเงินเฟ้อคาดการณ์ปีนี้ และปีหน้าจะอยู่ที่ 0.9% ซึ่งแตะใกล้กรอบล่างของเงินเฟ้อที่ 1-3%
สำหรับเงินเฟ้อทั่วไปช่วงนี้ลดต่ำลงมา มาจากปัจจัยลดลดค่าของชีพและราคาพลังงานที่ถูกลง ซึ่งทั้ง 2 ตัว มีน้ำหนักเกือบ 50% เลยทำให้เงินเฟ้อทั่วไปดูต่ำแต่ก็จะทยอยขึ้นมา
ทั้งนี้ เป้าหมายเงินเฟ้อในระยะยาวระยะปานกลางจะกลับเข้ามาอยู่ในกรอบ 1-3% อย่างแน่นอน
นายวิทัย กล่าวว่า ตอนนี้ไทยยังไม่อยู่ในภาวะเงินฝืด ซึ่งในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ ภาวะเงินฝืด จะต้องเกิดภาวะเงินเฟ้อฟื้นฐานติดลบลงไปจำนวนมากๆ หรือการลดของราคาสินค้าต้องเป็นไปในวงกว้าง ซึ่งตอนนี้ยังไม่เป็นเช่นนั้น แต่แบงก์ขาติก็อยู่ในหมวดที่พร้อมจะผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
ค่าเงินบาทไทยไม่แข็งค่าเกินไป
นายวิทัย กล่าวว่า ค่าเงินบาทปัจจุบันไม่ได้แข็งค่าเหมือนในอดีตตอนนี้แข็งค่าอยู่ประมาณ 4.5% เทียบกับหลายประเทศในอาเซียนซึ่งมีค่าเงินที่แข็งกว่าไทยไปแล้ว ทั้ง ไต้หวัน หรือ มาเลเซีย
ซึ่งการขึ้นลงของค่าเงินบาทเป็นผลของเงินดอลล่าร์แล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องของเงินไหลเข้าออกด้วย ซึ่งแบงก์ชาติได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อหาเงินที่น่าสงสัยเข้ามาและมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
“วันนี้บอกว่าแบงก์ชาติเห็นทุกอย่าง ต้องบอกว่าแบงก์ชาติไม่ได้เห็นทุกอย่าง บางเรื่องเป็นธุรกรรมที่ไม่ได้อยู่บนโต๊ะ ไม่มีการรายงาน แต่ว่าแบงก์ชาติสามารถทำงานร่วมกับอีกหลายหน่วยงานเพื่อหาตรงนี้ให้ได้” นายวิทัย กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า “แบงก็ไม่ได้มั่นใจว่ามีเงินที่ผิดปกติ และจำนวนมากแค่ไหน ที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น แต่แบงก์ชาติมีความสงสัยและแบงก์ชาติอยากตามไปดูว่าเงินเหล่านี้มีเยอะแค่ไหน และมีผลกระทบทำให้ค่าเงินบาทแข็งจริงหรือไม่ ลำพังหน่วยงานไหนหน่วยงานไหนหน่วยงานหนึ่งในประเทศ ไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเห็น ต้องเอาข้อมูลของทุกๆ หน่วยงานมาต่อกันถึงจะเห็น ตอนนี้ยังไม่ได้เห็นว่ามันใหญ่โตหรือไม่ใหญ่โต”
จับตาแแอปเทรดทอง ทำค่าเงินบาทแข็ง
นายวิทัย กล่าวว่า ส่วนเรื่องของทองคำมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ซึ่งแบงก์ชาติเรียกว่าเป็นปัจจัยที่เสริมทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น เมื่อราคาทองแพงหรือสูงขึ้น ก็มีคนนำมาขาย โดยเฉพาะการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชั่นที่เป็นเงินบาท ทีทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับการซื้อขายทองของบุคคลธรรมดาผ่านร้านขายทอง
ทั้งแบงก์ชาติกำลังหารือกับกระทรวงการทางและร้านทอง ถึงเรื่องของการเทรดทองผ่านแอปพลิเคชั่น ซึ่งแบงก์ชาติกำลังตามดูข้อมูลอยู่ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากมีนโยบายอะไรออกมา แต่ถ้าจำเป็นต้องมี ก็จะหารือกับกระทรวงการคลังว่าควรจะทำอย่างไรเพราะกระทรวงเป็นกระทรวงที่มีอำนาจในการดูแลเรื่องพวกนี้แ ต่จะทำด้วยความระมัดระวัง