
นายพรชัย ฐีระเวช อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ทิศทางการขับเคลื่อนกรมสรรพสามิต ปีงบประมาณ 2569 เร่งยกระดับบทบาทภารกิจจากหน่วยงานจัดเก็บรายได้ สู่การเป็น กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เผยโครงสร้างรายได้ปัจจุบันสะท้อนถึงทิศทางความยั่งยืนอย่างชัดเจน โดยมีสัดส่วนภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม (เช่น น้ำมัน รถยนต์) สูงถึงร้อยละ 57 และภาษีเพื่อสังคม (เช่น สุรา เบียร์ ยาสูบ) คิดเป็นร้อยละ 43
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า กรมสรรพสามิตต่อยอดความสำเร็จจาก SMART Excise ในปีที่ผ่านมา สู่การขับเคลื่อนภารกิจด้วยกลยุทธ์ “Diamond of SMART EXCISE” โดยมีหลักการสำคัญที่มุ่งเน้น 5 ด้าน คือ ความผาสุก ความโปร่งใส ความเป็นธรรม ความแม่นยำ และความเรียบง่าย พร้อมขานรับนโยบายเร่งด่วน Quick Big Win ของรัฐบาล ด้วยการยกระดับหลักการทำงานภายใต้ แนวคิดใหม่ “EXCISE is a Society of EXerCiSE” หรือ “EXCISE EXerCISE” ที่มุ่งขับเคลื่อน ทั้งสังคมและองค์กร ด้วยพลังแห่งวินัยและความเป็นมืออาชีพ เพื่อให้บุคลากรของกรมสรรพสามิต ทุกระดับ ร่วมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน โดย ” EXCISE EXerCISE ” มุ่งเน้นการขับเคลื่อนใน 2 ด้าน ควบคู่กัน คือ
ด้านที่ 1 ร่วมกันยกระดับ ภาษีสรรพสามิตเพื่อความยั่งยืน (Excise Tax) โดยควบคุมการบริโภคสิ่งไม่พึงประสงค์ หรือทำลายสุขภาพ จำกัดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย และสร้างความตระหนักรู้ รวมถึงส่งเสริมพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิตในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการขับเคลื่อนดังกล่าวดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปี 2569: ร้อยละ 1.2 – 2.2 (ค่ากลาง 1.7) ปี 2570: ร้อยละ 2.1 – 3.1 (ค่ากลาง 2.6) ปี 2571-2572: ร้อยละ 2.3 – 3.3 (ค่ากลาง 2.8) ปี 2573: ร้อยละ 2.5 – 3.5 (ค่ากลาง 3.0) โดยใน ปี 2569 กรมสรรพสามิตตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ 578,200 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 611,220 ล้านบาท ในปี 2570 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้รัฐบาลสุทธิให้แตะระดับ 3 ล้านล้านบาท
ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง 2570-2573 กรมสรรพสามิตได้นำนโยบายของ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาปรับใช้ โดยยึดสมการเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเก็บภาษีอากร คือ “Excise Tax = Tax Base x Tax Rate” หรือ “Excise Tax = Price x Quantity x Tax Rate” หรือ “รายได้ภาษี = ราคา x ปริมาณ x อัตราภาษี” โดยมีแผนการดำเนินงาน ประกอบด้วย
1) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บรายได้ (Tax Base = Price x Quantity) โดยการทบทวนกฎหมาย และนำเทคโนโลยีมาใช้ ได้แก่ การพัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลสุรานำเข้า เพื่อประเมินมูลค่าและควบคุมการจัดเก็บภาษีสำหรับสุราทุกชนิด ปรับปรุงประกาศกรมสรรพสามิต และพัฒนา Application การสำรวจราคา เพื่อใช้เปรียบเทียบกับราคาขายปลีกแนะนำที่ผู้ผลิตและ ผู้นำเข้าแจ้ง (ใช้ในการตรวจสอบภาษี) ทบทวนประกาศกรมสรรพสามิตเกี่ยวกับสิทธิเสียภาษีอัตราศูนย์ ของเครื่องดื่ม ประเภทน้ำพืชผักผลไม้ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การสุ่มตรวจสอบสินค้าใหม่ และการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีกิจการบริการ โดยขยายฐานภาษี ให้ครอบคลุมค่าใช้บริการประเภทต่าง ๆ ให้มากขึ้น รวมทั้ง ยกระดับการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายเชิงรุก ด้วยเทคโนโลยี และความร่วมมือทุกภาคส่วน พร้อมจูงใจให้กลับเข้าสู่ระบบภาษี
2) มาตรการภาษี (Tax Rate) มุ่งปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การปรับภาษีน้ำมัน โดยพิจารณาควบคู่กับต้นทุนราคาน้ำมันดิบ และสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปรับโครงสร้าง/อัตราภาษีสุรา เบียร์ และยาสูบ เครื่องดื่ม ตามหลักการ ด้านสุขภาพ ปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ ตามหลักการด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ปรับโครงสร้างภาษีสินค้าและบริการตามหลักการด้านความฟุ่มเฟือย ปรับโครงสร้างภาษีสินค้าที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ที่รวมถึงการนำคาร์บอนมาใช้พิจารณาประกอบ เป็นต้น
ด้านที่ 2 ร่วมกันพัฒนาบุคลากรและระบบดิจิทัลของกรมสรรพสามิต ในด้านบุคลากร กรมสรรพสามิตดำเนินงานทั้งด้าน HRM และ HRD เพราะเชื่อมั่นว่าบุคลากร คือ พลังขับเคลื่อน แห่งวินัย ความรู้ และความเป็นมืออาชีพ ที่จะนำพาองค์กรมุ่งสู่ระบบภาษีอัจฉริยะเพื่อสังคมที่โปร่งใสและยั่งยืน จึงมุ่งสร้างบุคลากรยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด (1) Intelligent EXerCISE คือ เป็นบุคลากรที่มีความรอบรู้ มีสติ และปัญญา คิดสร้างสรรค์ พร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง และ (2) Physical & Mindset EXerCISE คือ มีสุขภาวะที่ดีรอบด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ส่งเสริมวินัยในตนเอง ความซื่อสัตย์ และการทำงานอย่างมีธรรมาภิบาล เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ และประโยชน์ของประเทศชาติ โดยมีแผนสำคัญ เช่น
(1) การวิเคราะห์อัตรากำลัง ด้วย Big Data เพื่อจัดสรรกำลังคนให้ทันต่อสถานการณ์
(2) การสร้างเส้นทางเติบโตที่ชัดเจนและยืดหยุ่น ส่งเสริม การเรียนรู้ แบบ Cross-functional
(3) การสร้างมืออาชีพ พัฒนาบุคลากรให้เป็น “นักจัดเก็บภาษียุคใหม่” ที่รอบรู้ทั้งกฎหมาย การเงิน และเทคโนโลยี พร้อมทักษะดิจิทัลที่ทันสมัย และส่งเสริมนวัตกรรม
(4) การยกระดับกรมสรรพสามิตคุณธรรม สร้างค่านิยมการพัฒนาตนให้เป็น “คนเก่ง ดี มีความสุข” สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมพลังบวก ดูแลสวัสดิการและคุณภาพชีวิต (Work-Life Balance) เพื่อรักษาบุคลากรให้มีความผูกพัน (Engagement) กับองค์กรอย่างยั่งยืน เป็นต้น
ด้านระบบดิจิทัล กรมสรรพสามิตมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้ก้าวสู่ “องค์กรดิจิทัลที่มีศักยภาพสูง (High Performance Digital Organization)” เพื่อให้การจัดเก็บภาษีและบริการประชาชนมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบโจทย์ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง จึงได้กำหนดนโยบายด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Excise Digital Policy) 5 ด้านสำคัญ ได้แก่
(1) การให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Service Platform) ด้วยบริการที่เข้าถึงง่าย โปร่งใส ตั้งแต่ต้นจนจบ ผ่านระบบต่าง ๆ เช่น D-License , E-Filing และ E-Payment , My Tax Account และ Chatbot “น้องสมิตต์” ผู้ช่วยอัจฉริยะตอบคำถามตลอด 24 ชั่วโมง
(2) การบูรณาการข้อมูลและการใช้ AI มุ่งเชื่อมโยง Big Data 3 กรมภาษีเพื่อขยายฐาน และเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บภาษี
(3) การกำกับดูแลด้านดิจิทัล เช่น Data Governance ,Cybersecurity
(4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงปลอดภัย เช่น ISO/IEC 27001
(5) การพัฒนาทักษะดิจิทัลบุคลากรผ่าน “โรงเรียนสรรพสามิต ออนไลน์”
กรมสรรพสามิตหนึ่งในหน่วยงานจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลัง ขอเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่งคงทางการคลังและรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้ แนวคิด “Credible” โดยให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ความโปร่งใส และเป็นรูปธรรมในทุกมิติของการบริหารจัดการด้านการคลัง ด้วยการเร่งเครื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัล และ Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษี และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ ใช้ Data Lake ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานในการจัดเก็บรายได้ให้ครบถ้วน และนำมาช่วยออกแบบ วิเคราะห์ และประเมินผลนโยบายการคลัง รวมทั้ง ทบทวนกฎหมาย พัฒนาแอปพลิเคชันในการสำรวจราคาขายปลีกแนะนำ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผลมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศ และพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการชำระภาษีให้สะดวกและโปร่งใสมากขึ้น พร้อมทั้ง ดำเนินมาตรการภาษี ขยายฐานภาษี ตรวจสอบ ปราบปรามภาษีเชิงรุก เพื่อรับมือกับความท้าทายทุกมิติ ควบคู่การดูแลผู้ประกอบการด้วยความโปร่งใส และเป็นธรรม โดยปัจจุบันกรมมีมาตรการภาษี เช่น
(1) ปรับเพิ่มอัตราภาษีน้ำมัน ลิตรละ 1 บาท (มีผลเมื่อ 7 พ.ค. 68)
(2) สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
(3) ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ จากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 5 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (เริ่ม 1 ม.ค. 69)
(4) ปรับ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎกระทรวงการผลิตสุรา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการสุรารายย่อยและสุราชุมชน (มีผล 2 ธ.ค. 68)
และมีมาตรการภาษีในอนาคต เช่น (1) ขยายฐานภาษีสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมรองรับ มาตรการการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) (2) ขยายฐานภาษีสินค้าหรือบริการที่ฟุ่มเฟือย (3) ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Sustainable Aviation Fuel – SAF , Bio-based fuels 4) ภาษีความเค็ม เพื่อลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมเกินความจำเป็น 5) ปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยพิจารณาจากจำนวนรอบการชาร์จ (Life Cycle) และน้ำหนักต่อการให้พลังงาน (Electricity Density) 6) ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ซิกาแรตให้เป็นระบบภาษีแบบอัตราเดียว (Uniform Tax System) นอกจากนั้น กรมสรรพสามิตยังได้ยกระดับการปราบปรามเชิงรุกอย่างจริงจัง ด้วยการบูรณาการร่วมกับ
ภาคีเครือข่าย เช่น ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง และกองทัพ เพื่อเสริมสรรพกำลังและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ผ่านระบบ “ศูนย์ปราบปราม สินค้าออนไลน์” ทั้งนี้ 1 ต.ค. – 30 พ.ย. 2568 สามารถจับกุมคดีผิดกฎหมายได้ 3,974 คดี ของกลาง 701,067 ซอง คิดเป็นมูลค่าภาษีที่รัฐสูญเสียกว่า 35.61 ล้านบาท ค่าปรับและประมาณการค่าปรับ 482.11 ล้านบาท
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า กรมสรรพสามิตตระหนักดีถึงความท้าทาย ในการออกแบบระบบภาษีสรรพสามิตที่ต้องรักษาสมดุลระหว่าง “การควบคุมจำกัด” สำหรับสินค้า ที่ทำลายสุขภาพ ฟุ่มเฟือย และ “การส่งเสริม” เศรษฐกิจยั่งยืน จึงเชื่อมั่นว่า การขับเคลื่อนองค์กรด้วย Diamond of SMART EXCISE พร้อมเสริมพลัง แนวคิด EXCISE EXerCISE ในครั้งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับ ผู้เสียภาษีสรรพสามิต และภาคประชาชน ด้านความโปร่งใส เป็นธรรมของระบบภาษีสรรพสามิตในระยะยาวต่อไป




