
ด้านนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย คปภ. กล่าวว่า ปี 2568 รัฐบาลประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.5% ซึ่ง คปภ. มองว่าจะช่วยให้ธุรกิจประกันภัยขยายตัวได้ 5% หรือโตได้ 2 เท่าของจีดีพีประเทศ โดย คปภ. ยังเน้นการกำกับให้ธุรกิจประกันมีความมั่นคง และดูแลผู้แลทำประกันให้ได้ประโยชน์สูงสุด
นายชูฉัตร กล่าวว่า กองทุนประกันวินาศภัย อยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์จ่ายเงินค่าสินไหมให้กับผู้เอาประกันของบริษัทสินมั่นคงที่มีปัญหาปิดกิจการไปจากกรณีจ่ายค่าสินไหมประกันโควิดเจอจ่ายจบไม่ได้
สำหรับการควบรวมธุรกิจประกัย เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการสามารถทำได้อยู่แล้ว หากเห็นว่าทำให้การดำเนินการดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ทาง คปภ. อยู่ระหว่างการแก้กฎหมายเพื่อให้การควบรวมธุรกิจประกันภัยมีความชัดเจน และสะดวกในการควบรวมมากขึ้น
นายชูฉัตร กล่าวถึงกรณีการทำประกัยให้คอบคลุมภัยจากสงคราม เป็นเรื่องที่ทำประกันภัยจะต้องทำการตรวจสอบเงื่อนไขประกันว่าคอบคลุมหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ทำประกัน 5 จังหวัดที่อยู่ในความเสี่ยงของภัยสงคราม เนื่องจากประกันมีความหลากหลายมาก หากไม่เข้าใจก็ต้องถามให้เข้าใจว่ามีการคอบคลุมภัยอะไรบ้าง
สำหรับการจ่ายเคลมขอบริษัทประกันภัยให้กับบุคคล และสถานที่ ที่ได้รับความเสียหาย ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เหมือนกับกรณีเกิดแผ่นดินไหวที่ตอนแรกการดำเนินการก็ล่าช้า แต่ขณะนี้ได้รับรายงานบริษัทประกันภัยได้ออกใบเคลมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบแผ่นดินไหวไปแล้ว 90%
คลังหนุนธุรกิจประกัน เสาหลักสำคัญเศรษฐกิจ
นายพิชัย ชุณหวชิร รักษาการรองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวว่า ได้มามอบรางวัลประกันภัยดีเด่นทั้งประเภทองค์กรและบุคคล ที่ทาง คปภ. เป็นผู้จัดขึ้น เพื่อมอบรางวัลให้ผู้ประกอบการธุรกิจประกันที่ได้ทำประโยชน์อุตสาหกรรมประกันและเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ ต้องถือว่าธุรกิจประกันเป็นแกนหลักสำคัญกับของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เป็นเครื่องที่ใช้ลงทุน และบริหารความเสี่ยงทั้งระดับองค์กรและบุคคลธรรมดา
ดังนั้นการที่จะทำให้ธุรกิจของประกันภัยเติบโตไปได้อย่างยั่งยืนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะธุรกิจประกันชีวิต มีมูลค่าเงินประกันสูงและยาว ซึ่งทาง คปภ.จำเป็นต้องดูแลให้ดี