เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 2/2567 (ครั้งที่ 66) ซึ่งเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting) โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติเห็นชอบในประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านพลังงาน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อย และเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตการณ์ราคาพลังงานในอนาคต
นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการบริหารจัดการด้านพลังงานในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน และมีการสรุปบทเรียนที่ได้จากการวิเคราะห์ประเด็นปัญหาที่ผ่านมา รวมทั้งข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินงานต่อไป โดยที่ประชุมเห็นควรให้มีการจัดทำเป็นแผนงาน/ข้อริเริ่มโครงการ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบให้มีความยืดหยุ่นในการบังคับใช้ช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบัน ทางคณะทำงานฯ กำลังเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการเตรียมพร้อมและมาตรการบริหารวิกฤตการณ์พลังงาน (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 เพื่อกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนแผนงาน/ข้อริเริ่มโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรตั้งแต่ภาวะปกติ แนวทางการบูรณาการที่จำเป็นของประเทศ และการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน และได้มีมติให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีกรอบเป้าหมายเพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) พิจารณาบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับแนวทางการทบทวนการกำหนดราคาก๊าซ LPG ต่อไป
นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวถึง ความจำเป็นในการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มผู้เปราะบางในช่วงที่ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องตลอดปี 2567 เนื่องจากปัจจัยด้านราคาในตลาดโลก โดยที่ประชุมได้พิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคาน้ำมันสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 13,570,169 ราย และเป็นประชาชนกลุ่มเปราะบางที่แท้จริง โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ “มาตรการบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งจะให้สิทธิเพิ่มวงเงินช่วยเหลือค่าน้ำมัน (กลุ่มเบนซิน และกลุ่มดีเซล โดยให้ใช้กับยานพาหนะ) แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 120 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานหารือ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สถาบันการเงิน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอเรื่องขออนุมัติหลักการจากคณะรัฐมนตรี
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มสถานีบริการที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ และช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น