นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า
อภิปรายนอกสภา-2: เรื่องข้อดีข้อเสียดิจิทัลวอลเล็ต
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. มีบทความใน FT เกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย โดยโปรเฟสเซอร์มหาวิทยาลัยคอร์เนล (ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย Top 10 ของสหรัฐ)
[เขาเห็นว่า ถ้าทำโครงการนี้สำเร็จ ก็จะเปลี่ยนโฉมระบบการเงินในไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจติดตาม แต่ในขณะเดียวกัน กรณีประเทศใดที่จะใช้นโยบายทำนองนี้ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
แนวคิดของโครงการทำนองนี้คือ รัฐจะสามารถควบคุมวิธีการใช้เงินที่แจกได้อย่างละเอียด เช่น กำหนดเวลาที่ต้องใช้เงิน (คือทำให้เงินหมดอายุเมื่อพ้นเวลาหนึ่ง) หรือกำหนดให้วงเงินลดลงไปเรื่อยๆ ถ้าหากผู้รับเงินแจกไม่รีบนำไปใช้จ่าย (คือทำให้เงินมีดอกเบี้ยชนิดที่ติดลบ) หรือกำหนดห้ามใช้ซื้อสินค้าบางชนิด เช่น เหล้า บุหรี่ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่า เงินดิจิทัลที่ออกโดยบริษัทเอกชนตามคำสั่งของกระทรวงคลังดังกล่าว อาจทำลายความเชื่อถือในเงินปกติที่ออกโดยแบงค์ชาติ
ถ้าเงินดิจิทัลแบบนี้ขยายใหญ่โต ก็จะกลับทำให้แบงค์ชาติเปลี่ยนบทบาท จากปัจจุบันที่เป็นผู้ออกเงินตรา ไปเป็นผู้ทำหน้าที่เพียงแต่เป็นเอเยนต์ของรัฐ โดยรัฐเป็นผู้ออกเงินตราเสียเอง]
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบทความนี้ในลิงค์ข้างล่าง
ผมตั้งข้อสังเกตดังนี้
1 จะต้องแก้ไขกฎหมายเงินตราเสียก่อน
กฎหมายเงินตราบัญญัติให้แบงค์ชาติเป็นผู้ออกธนบัตร โดยมาตรา 14 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจจัดทำจัดการ และนำออกใช้ซึ่งธนบัตรของรัฐบาล โดยรัฐมนตรีเป็นผู้ประกาศ ชนิด ราคา สี ขนาด และลักษณะอื่น ๆ ของธนบัตร และมาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใดทำ จำหน่าย ใช้ หรือนำออกใช้ซึ่งวัตถุหรือเครื่องหมายใด ๆ แทนเงินตรา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
ดังนั้น เงินดิจิทัลที่ออกโดยบริษัทเอกชนตามคำสั่งของกระทรวงคลังซึ่งมีเนื้อหาทางเศรษฐกิจเป็นเงินตราอย่างหนึ่ง จึงต้องขออนุญาตจากรัฐมนตรีผ่านแบงค์ชาติ
แต่ถ้ารัฐบาลต้องการให้กระทรวงคลังทำหน้าที่ออกเงินดิจิทัล ที่เป็นระบบคู่ขนานกับระบบธนบัตรที่ออกโดยแบงค์ชาติ อันจะเป็นการเบียดเข้าไปในกรอบอำนาจหน้าที่ของแบงค์ชาติ นั้น รัฐบาลก็จะต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อให้อำนาจกระทรวงคลังทำหน้าที่นี้เสียก่อน
2 ไม่มีประเทศไหนทำเช่นนี้
กรณีประเทศตะวันตกที่มี stable coin เป็นเงินคริปโทชนิดหนึ่งที่ขับเคลื่อนด้วยบล็อกเชน ซึ่ง stable coin เหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิด smart contract ตามที่คุณทักษิณกล่าวในการแสดงวิสัยทัศน์ นั้น
ผมขอเรียนว่า stable coin เหล่านี้ในประเทศตะวันตก ออกโดยบริษัทเอกชนกันเอง โดยไม่มีอำนาจพิเศษที่กระทรวงคลังของประเทศนั้นมอบให้ใดๆ และขณะนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายออกมาควบคุมการดำเนินการ stable coin แบบนี้ จึงมักเกิดปัญหา บางคอยน์ที่โยงกับสกุลดอลลาร์ ถูกกล่าวหาว่ามีทรัพย์สินสกุลดอลลาร์หนุนหลังไม่เต็ม 100%
ดังนั้น กรณีเงินดิจิทัลที่ออกโดยบริษัทเอกชนไทยตามคำสั่งของกระทรวงคลังไทย จึงเป็นโมเดลที่ยังไม่มีประเทศใดในโลกทำกันเลย จะแหวกแนวสุดๆ
ส่วนกรณีที่มีการออก Central Bank Digital Currency (CBDC) นั้น ล้วนออกโดยธนาคารชาติของประเทศนั้นๆ ไม่ใช่ออกโดยบริษัทเอกชนตามคำสั่งของกระทรวงคลังของประเทศนั้น
3 ต้องไม่มั่วนโยบายการคลังปะปนกับนโยบายการเงิน
กรณีที่รัฐบาลต้องการแจกเป็นเงินดิจิทัลเพื่อให้สามารถควบคุมการใช้เงินแบบที่โฟกัสเงื่อนไขได้ นั้น ในกระบวนการปกติปัจจุบัน รัฐบาลควรเอาเงินปกติไปมอบให้แบงค์ชาติ เพื่อแลกขอให้แบงค์ชาติออกเป็น CBDC แล้วส่งไปให้แก่ประชาชนอีกทอดหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการแยกกรอบนโยบายการคลังไม่ให้ปะปนกับนโยบายการเงิน อันเป็นไปตามครรลองปกติในทุกประเทศ
แต่ถ้ารัฐบาลไทยไปแก้ไขกฎหมายให้กระทรวงคลังมอบอำนาจพิเศษให้แก่บริษัทเอกชนเป็นผู้ออกเงินดิจิทัลให้แก่ประชาชนแทนแบงค์ชาติ นั้น จะเป็นการเอากรอบนโยบายการคลังไปมั่วปะปนกับนโยบายการเงิน ซึ่งมีแต่จะทำให้ความมั่นใจในสกุลบาทตามปกติลดลงเพราะเป็นการลิดรอนอำนาจหน้าที่ของแบงค์ชาติ เป็นอันว่า รัฐบาลไทยจะทำให้ทั่วโลกขาดความมั่นใจในนโยบายการเงินของแบงค์ชาติไทยด้วยน้ำมือของรัฐบาลเอง
4 การใช้บล็อกเชนจะสร้างปัญหา
คุณทักษิณกล่าวในการแสดงวิสัยทัศน์ว่า การแจกรอบที่สอง จะแจกเป็นเงินดิจิทัล และน่าจะด้วยเหตุนี้ รัฐบาลรักษาการณ์จึงเพิ่งโอนย้ายงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะของรัฐ 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ไปใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล
ผมขอเรียนให้ท่านทราบว่า กรณีเงินดิจิทัลที่ออกโดยบริษัทเอกชนไทยตามคำสั่งของกระทรวงคลังไทย ที่ขับเคลื่อนโดยบล็อกเชน นั้น จะมีปัญหาว่าการอนุมัติผ่านรายการใช้เวลานาน ตัวอย่างกรณีบิตคอยน์ใช้เวลาต่อรายการละ 10 นาทีกว่าจะยืนยันรายการโอนบิตคอยน์ได้สำเร็จ และบางรายการต้องรอเป็นชั่วโมง
นอกจากนั้น การเชื่อมโยงจากระบบบล็อกเชนเข้าไปในบัญชีเงินฝากของประชาชนแต่ละคนในแบงค์พาณิชย์ต่างๆ นั้น จะไปก่อความเสี่ยงในระบบคอมพิวเตอร์ของแบงค์พาณิชย์ จึงจะต้องได้รับความเห็นชอบจากแบงค์พาณิชย์และแบงค์ชาติเสียก่อน
อนึ่ง กรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2568 ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการ โดยโอนย้ายงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะของรัฐ 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ไปใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล นั้น ผมคาดว่า สส. ที่ยกมือลงมติเห็นชอบดังกล่าว คงไม่ได้เชิญให้ตัวแทนกระทรวงการคลังมาชี้แจงว่า เงินดิจิทัลที่จะแจก จะขับเคลื่อนโดยบล็อกเชนหรือไม่ และกระทรวงการคลังจะแก้ปัญหาการผ่านรายการล่าช้าได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ได้เชิญตัวแทนกระทรวงการคลังมาชี้แจง ก็น่าเป็นห่วงว่า ที่ท่านยกมือลงมติเห็นชอบดังกล่าว ท่านได้ทำหน้าที่กรรมาธิการอย่างถูกต้องรอบคอบครบถ้วนแท้จริง หรือไม่?