นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ระบุว่า
แทรกแซงองค์กรอิสระ สืบสันดานของแทร่
หลังจากที่มีการรอผลการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเป็นใครนั้น ปรากฏว่า นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการคัดเลือกได้หารือกับกรรมการคัดเลือก และเห็นร่วมกันว่าต้องใช้เวลาในการพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้านครบถ้วน เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงให้เลื่อนกำหนดการประชุมออกไป เป็นวันที่ 11 พ.ย.2567 ทำให้ผู้คัดค้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงค์ชาติโล่งอกไปตามๆกัน และมีเวลาเคลื่อนไหวกดดันกันต่อไป
ผมเห็นว่ารายชื่อตัวเต็งประธานบอร์ดแบงค์ชาติทั้ง3คน คือนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายกุลิศ สมบัติศิริ และนายสุรพล นิติไกรพจน์ ล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แต่ที่ทำให้สังคมสงสัยและคลางแคลงใจ คือนายกิตติรัตน์ ซึ่งจุดยืนและทัศนคติของที่ผ่านมา เป็นอันตรายต่อธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงทัศนคติของนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรีด้วย จนเกิดความวิตกว่าจะเข้ามาแทรกแซงการทำงานธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีความเป็นอิสระในการบริหารการเงิน ปราศจากการครอบงำจากฝ่ายการเมือง
ถ้าหากรัฐบาลส่งนายกิตติรัตน์ ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดกับรัฐบาล เข้ามาเป็นประธานบอร์ดแบงค์ชาติ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจเกิดการครอบงำการทำงานของแบงค์ชาติได้ ซึ่งการแทรกแซงองค์กรอิสระ เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเมื่อปี 2549 รัฐบาลทักษิณได้บริหารประเทศ แทรกแซงองค์กรอิสระ ทั้ง ปปช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ จนเป็น1ใน4เหตุผล การยึดอำนาจของคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
เมื่อมาถึงรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง ซึ่งเป็นรัฐบาลในระบอบทักษิณเช่นเดียวกัน การส่งคนของฝ่ายการเมืองไปเป็นประธานบอร์ดแบงค์ชาติ ถือว่าเป็นการแทรกแซงหน่วยงานอิสระ เช่นเดียวกับการแทรกแซงองค์กรอิสระเหมือนกัน จึงทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจ ออกมาคัดค้านต่อต้านตามที่เป็นข่าวอยู่ เพราะวิธีการและแนวทางการทำงานของรัฐบาลในระบอบทักษิณทุกชุดไม่แตกต่างกัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการสืบสันดานของแท้
อยากให้รัฐบาลทบทวนการส่งคนเข้าไปนั่งเป็นประธานบอร์ดแบงค์ชาติ แม้ว่าจะมีความสามารถและเหมาะสมเพียงใดก็ตามแต่เมื่อเกิดข้อสงสัยและไม่ไว้วางใจในตัวบุคคล รัฐบาลก็ควรจะเปลี่ยนตัวบุคคลให้เป็นที่ยอมรับของสังคมทุกภาคส่วนจะดีกว่า