
นายสมหมาย ภาษี อดีตรมว.คลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของไทยที่โตด้วยการเปิดประเทศปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างง่ายดายประกอบธุรกิจสีเทา และสีธรรมชาติแบบกอบโกย รัฐบาลที่ไม่ใส่ใจประชาชนปล่อยปละละเลย มัวหาแต่เงินและอำนาจให้พวกพ้อง จนเศรษฐกิจพังแล้วพังอีกเป็นรอบๆ ตกอยู่ในภาวะตกต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียน และเป็นคนไข้ทางเศรษฐกิจที่มีแต่ทรุดมายาวนานในเอเชีย โดยเฉพาะขณะนี้ถือได้ว่าต้องนั่งรถเข็นแล้ว
เศรษฐกิจไทยแผ่วต่อเนื่องมานานจนเป็นวิกฤตที่แท้จริงแล้ว
เศรษฐกิจของไทยที่ต้องเป็นเช่นนี้ พูดได้อย่างเดียวว่าเพราะไทยเราถูกบริหารโดยรัฐบาลที่ฉ้อฉลมาตลอด เดิมที่ใช้กลยุทธ์หาเงินเข้าพรรคและส่วนตัวแบบพื้นๆด้วยระบบส่วย ระบบบวกค่าใบอนุญาตและการอนุมัติจัดการตามอำนาจเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่มาก ต่อมาเจ้าของกิจการใหญ่ๆหรือบ้านใหญ่ทุกภาคได้เข้ามามีอำนาจทางการเมืองและเข้าไปอุดหนุนการเมืองได้มากขึ้น การเอารัดเอาเปรียบเข้าไปฉ้อฉลราชการขยายวงออกไปมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนระบบราชการและข้าราชการเป็นเสมือนโคกระบือที่พอมีหญ้าเขียวๆให้แทะเล็มไปวันหนึ่งๆเท่านั้น
งบประมาณประจำปี 2569 ที่ถูกบีบคั้นจะเข้าการพิจารณาของสภาวันสองวันนี้
เมื่อดูงบประมาณซึ่งเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศชาติที่สำคัญที่สุดของปีนี้ ปรากฎว่าเป็นงบประมาณที่น่าสงสารและสมเพชมาก เพราะไม่มีทั้งนักการเมืองและผู้สื่อข่าวให้ความสนใจเหมือนที่แล้วๆมา และเป็นงบที่จะไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและการลงทุนได้เลย เพราะงบลงทุนยิ่งต่ำลง
ที่น่าสมเพชเพราะงบประมาณประจำปี 2569 (ตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) จำนวน 3,780,600 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นมากปีที่แล้วแค่ 0.7 % เป็นงบที่เพิ่มน้อยมาก เมื่อเทียบกับวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ต้องการเงินมาแก้ไขอย่างมาก นอกจากเพิ่มน้อยทั้งๆที่มีงบขาดดุลคือ ที่รัฐบาลต้องกู้เงินและเพิ่มภาระหนี้สาธารณะเท่าๆกับปีที่แล้ว รวมงบขาดดุลทั้งสิ้น 860,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 0.7 % เพราะถ้าจะกู้ตามความต้องการจริงก็จะหลุดกรอบเพดานหนี้ที่วางไว้ไม่ให้หนี้สาธารณสูงเกิน 70 % ของ GDP เชื่อได้เลยว่ารัฐบาลไหนที่เข้ามาบริหารประเทศจะต้องหาเรื่องออกพ.ร.ก. กู้เงินเพิ่มพิเศษอีกเป็นแน่
ขอให้รัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนก็ตามที่จะเข้ามาบริหารประเทศในปีงบประมาณที่จะถึงนี้ อย่าคิดเด็ดขาดว่ารัฐบาลเราจะขยายเพดานหนี้อีกเท่าไหร่ก็ได้ เพราะเพดาน 70 % ของ GDP นี้ IMF ได้เปิดเผยบทความวิเคราะห์เรื่องนี้ของไทยเราแล้วเมื่อเร็วๆนี้ โดยพูดว่า ณ จุดนี้ไทยต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า 70 % นี้ ยังจะเป็นตัวหนี้สาธารณะของประเทศที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนได้แน่นะครับ ถ้าต้องสูงกว่านี้ก็น่าจะเป็นเรื่องแล้วละ
การเมืองที่ฉ้อฉลไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งที่อิงระบอบประชาธิปไตย หรือที่มาจากการยึดอำนาจโดยการปฏิวัติรัฐประหารล้วนแต่ได้ใจและฮึกเหิมในการกอบโกยอำนาจในการกำกับการบริหารราชการให้เอื้อแก่พรรคและพวกของตนมาตลอด
การใช้ระบอบประชาธิปไตยของชาติตะวันตกเพื่อสร้างองค์กรอิสระในการกำกับควบคุมการบริหารที่สำคัญๆทางราชการทุกวันนี้ก็ได้เห็นชัดว่า ถูกแทรกแซงและติดสินบนตั้งแต่ขั้นตอนการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการขององค์กรอิสระแทบทุกองค์กร จนต้องงัดเอาข้อกฎหมายทั้งธรรมดาและกฎหมายรัฐธรรมนูญมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กันอย่างเห็นได้ชัดจนน่าขยะแขยงสุดจะพรรณนาในปัจจุบัน
เมื่อเศรษฐกิจของชาติอยู่ในอาการวิกฤตอย่างนี้ ภายใต้การเมืองที่ทั้งฉ้อฉลและดูถูกดูแคลนประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งอย่างทุกวันนี้ บวกกับสังคมของประเทศที่สุดจะเสื่อมทรามโดยฟังข่าวจากเรื่องที่คณะกรรมการแพทย์สมาคมมีมติลงโทษนายแพทย์ใหญ่แบบรุนแรงถึง 2 คน ในเรื่องที่คนทั้งประเทศรู้กันอยู่แล้ว และข่าวจากการที่มหาเถรสมาคมต้องปลดเจ้าอาวาสระดับอาวุโสมากของประเทศที่วัดไร่ขิง ซึ่งเป็นวัดมหานิยมวัดหนึ่งเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว แค่สองข่าวของบุคคลที่เป็นที่เคารพนับถือของคนไทยค่อนประเทศ ย่อมก่อให้เกิดความสะเทือนต่อผู้คนเป็นอย่างมาก และก็เป็นตัวก่อให้ศรัทธาที่คนไทยพอมีอยู่กับสถาบันต่างๆลดน้อยลงทุกวัน จนกลายเป็นวิกฤตศรัทธาขึ้นมา
แล้วจะกู่ให้ประเทศอันเป็นที่รักยิ่งของเรากลับสู่สภาพเดิมได้อย่างไร