
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ากรมธนารักษ์ได้ดำเนินโครงการปรับปรุงท่าเรือภูเก็ต บริเวณที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก. 308 (บางส่วน) เพื่อพัฒนาปรับปรุงท่าเรือภูเก็ตเป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยวและการขนถ่ายสินค้าตามนโยบายของรัฐบาล โดยการเปิดประมูล เป็นการทั่วไปเพื่อหาผู้ลงทุนพัฒนาตามประกาศกรมธนารักษ์ ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 มีกำหนดระยะเวลาเช่า 30 ปี นับตั้งแต่วันลงนามในสัญญากำหนดเงื่อนไขให้เสนอโครงการฯ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 116.89 ล้านบาท และเสนอค่าธรรมเนียมการจัดหาประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 139.50 ล้านบาท ปรากฏว่า บริษัท ภูเก็ต ดีพ ซี พอร์ต จำกัด เป็นผู้ชนะประมูล โดยบริษัทฯ ได้เสนอเงินค่าธรรมเนียมฯ 345 ล้านบาท และมูลค่าโครงการฯ 132.86 ล้านบาท ผลประโยชน์ตอบแทนรวมตลอดอายุ 30 ปี เป็นเงิน 678.41 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2568 กรมธนารักษ์ได้กำกับให้บริษัทฯ ดำเนินการตามเงื่อนไขสัญญาการบริหารงานและดำเนินกิจการท่าเรือภูเก็ต (สัญญาเลขที่ 1/2561 ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2561) เพื่อให้มีความพร้อมในการรองรับเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาด (Cruise) และท่าเรือขนถ่ายสินค้าได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ นายเผ่าภูมิฯ ยังได้ลงพื้นที่โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก. 293 – 294 ตามที่จังหวัดภูเก็ตได้เปิดประมูลเป็นการทั่วไปเพื่อให้เอกชนลงทุนพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าวเมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยกรมธนารักษ์ได้เห็นชอบให้ บริษัท บ้านใจใส จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิการพัฒนาที่ราชพัสดุ ซึ่งบริษัทฯ ได้เสนอโครงการฯ มูลค่าประมาณ 68.59 ล้านบาท และเสนอให้เงินค่าธรรมเนียมการจัดหาประโยชน์ เป็นเงิน 1.7 ล้านบาท ปัจจุบันได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการก่อสร้างและแก้ไขแบบแปลน เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ของอาคาร โดยมีรายการก่อสร้างอาคาร 12 รายการ มูลค่าโครงการทั้งสิ้นประมาณ 236.07 ล้านบาท ผลการก่อสร้าง ณ เดือนเมษายน 2568 คิดเป็นร้อยละ 87.50 (กรมธนารักษ์อนุญาตให้บริษัทฯ ขยายระยะเวลาการก่อสร้างจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568)

นายเผ่าภูมิฯ กล่าวในตอนท้ายว่า โครงการท่าเรือปรับปรุงท่าเรือภูเก็ตและโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก. 293 – 294 กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังได้การดำเนินการและขับเคลื่อนให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลโดยมุ่งที่จะบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดความคุ้มค่าเหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน รวมทั้ง เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินและสร้างรายได้ให้เกิดประโยชน์แก่รัฐและเกิดประโยชน์ต่อประชาชน