
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวว่า คลังอยู่ระหว่างการวางกรอบการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ เนื่องจากปัจจุบันการหักลดหย่อนสะเปะสะปะมากไป
เบื้องต้นจะกำหนดเป็นเพดานสูงสุดว่า ปีหนี่งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล จะให้หักลดหย่อนภาษีได้เท่าไร และให้บุคคลธรรม ไปวางแผนเองว่าอยากจะใช้สิทธิหักลดหย่อนอะไรตามที่ต้องการ แต่ต้องไม่เกินกำหนดเพดานที่คลังกำหนด ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาว่า เพดารที่หักลดหย่อนต่อปีที่เหมาะสมเป็นเท่าไร
“การกำหนดเพดานหักลดหย่อยภาษีบุคคลธรรมดา อาจทำให้บางคนหักลดหย่อยได้น้อยลง แต่จะทำให้รัฐบาลมีรายได้มากขึ้น ที่สำคัญเป็นการสร้างวินัยการคลังระยะปานกลางมาตรการหนึ่ง ที่จะทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มั่นใจเครดิตของประเทศไทยมากขึ้น” นายเอกนิติ กล่าว
เปิดสิทธิหักลดหย่อนภาษีปี 2568
ลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
1. ลดหย่อนภาษีส่วนตัวได้ 60,000 บาททันที โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ
2. ลดหย่อนภาษีคู่สมรสได้ 60,000 บาท โดยต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสต้องไม่มีรายได้
3. ลดหย่อนภาษีบุตรด้คนละ 30,000 บาท เฉพาะบุตรอายุไม่เกิน 20 ปี หรือไม่เกิน 25 ปีและกำลังเรียนอยู่ แต่ในกรณีลูกคนที่ 2 ขึ้นไป และเกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จะลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
4. ลดหย่อนภาษีบิดามารดาด้คนละ 30,000 บาท โดยบิดามารดาต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท โดยใช้สิทธิ์ซ้ำระหว่างพี่น้องไม่ได้
5. ลดหย่อนภาษีผู้พิการได้คนละ 60,000 บาท โดยผู้ลดหย่อนภาษีต้องเป็นผู้ดูแลที่ระบุอยู่ในบัตรคนพิการเท่านั้น
6. ค่าฝากครรภ์และทำคลอดได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท โดยครอบคลุมทั้งค่าฝากครรภ์ ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าทำคลอด และค่ากินอยู่ในสถานพยาบาล
ลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน
1. เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป รวมถึงประกันแบบสะสมทรัพย์ ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยประกันต้องคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
2. เบี้ยประกันสุขภาพตัวเอง เบี้ยประกันสุขภาพ รวมถึงเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
3. เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท และสามารถรวมประกันสุขภาพพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้
4. เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี และต้องไม่เกิน 200,000 บาท หรือต้องไม่เกิน 300,000 บาท หากไม่มีการลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันชีวิต และเมื่อรวมกับหมวดการลงทุนเพื่อการเกษียณแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน
1. กองทุนประกันสังคม ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท
2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
3. กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.)/กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
4. กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
5. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
6. กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) หักได้เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท
ลดหย่อนภาษีด้วยเงินบริจาค
1. เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าลดหย่อน
2. เงินบริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา พัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าลดหย่อน
3. เงินบริจาคพรรคการเมือง ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
ลดหย่อนภาษีด้วยมาตรการรัฐ
1. ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหรือคอนโด สามารถนำดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับธนาคารมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท
2. เงินลงทุนธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท